สัมนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการจัดการเรียนรู้
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
โครงงานวิจัย
ใบงานที่ 1
1.
ชื่อเรื่อง
การจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์เรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ในรูปแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom)
โดยใช้เทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2.
ชื่อนวัตกรรม
-
แผนการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
-
บทเรียนออนไลน์ (E – Book) เรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
- EUS – Phone
3.
วัตถุประสงค์เพื่อใช้นวัตกรรมในการแก้ปัญหา
- เพื่อสร้างความสนใจให้กับนักเรียนในการเรียนคณิตศาสตร์
เรื่อง ตรรกศาสตร์
- เพื่อแก้ปัญหานักเรียนที่มีผลการเรียนคณิตศาสตร์ต่ำกว่าเกณฑ์ของสถานศึกษา
- เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์
4.
วัตถุประสงค์การวิจัย
- เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น หลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
- เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น หลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
กับเกณฑ์ของสถานศึกษาเฉลี่ยร้อยละ 50
- เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 ทีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
5.
มีข้อมูลอะไรบ้างที่จะใช้ในการวิจัย
1. หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
2. แผนการจัดการเรียนรู้
2.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
2.2
ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้
2.3
ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
2.4
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี
3.
การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
3.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
3.2 หลักการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน
3.3 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
4.
บทเรียนออนไลน์ (E-book)
4.1 ความหมายของโปรแกรม e-book
4.2 ประเภทของโปรแกรม e-book
4.3 ข้อดีและข้อเสียโปรแกรม e-book
4.4 ประโยชน์ของโปรแกรม
e-book
4.5 ข้อจำกัดและบทบาทชองโปรแกรม e-book
5.
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
5.1
ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
5.2
การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
5.3
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
5.4
ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
6.
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ
7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
6.
คำถามการวิจัย
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น หลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
สูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
ตรรกศาสตร์เบื้องต้น หลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
สูงกว่าเกณฑ์ของสถานศึกษาเฉลี่ยร้อยละ 50 หรือไม่
- นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้นหรือไม่
7.
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนเมืองหลังสวน จังหวัดชุมพร ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา
2561
โดยเลือกจากการสุ่มอย่างง่าย 1 ห้องเรียน
จำนวน 25 คน
8.
กระบวนการสร้างและใช้นวัตกรรม
1.
การสร้าง e-book เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
ในการสร้าง e – book มีลำดับขั้นตอน ดังนี้
1.1 ศึกษาสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ (สสวท.) และวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน เมื่อได้เรียนเรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1.2 สร้าง e – book เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น โดยมีเนื้อหาและหัวข้อย่อยดังนี้
-
ประพจน์
-
การเชื่อมประพจน์
- นิเสธของประพจน์
-
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “และ”
-
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “หรือ”
-
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ถ้า…แล้ว”
-
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ก็ต่อเมื่อ”
โดยในเนื้อหาแต่ละเรื่องนั้นมีรูปแบบการสอนตามรูปแบบ
EU
– Phone
1.3 นำบทเรียน
e – book ไปตรวจสอบดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index : IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน
ได้ค่าความสอดคล้องโดยรวมเป็น 0.84
ซึ่งจะต้องประเมินด้วยคะแนน 3 ระดับ คือ
+1 = สอดคล้องหรือแน่ใจว่าแผนการสอนนั้นวัดจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง
0 = ไม่แน่ใจว่าแผนการสอนนั้นวัดจุดประสงค์ที่ระบุไว้
-1 = ไม่สอดคล้องหรือแน่ใจว่าแผนการสอนนั้นไม่ได้วัดจุดประสงค์ที่ระบุไว้
ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป
1.4 นำ
e – book ที่ได้รับการตรวจพิจารณาแล้วมาปรับปรุงแก้ไข
ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปทดลองใช้กับกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมาย
และปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เหมาะสม
1.5 นำ e – book ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 โรงเรียนเมืองหลังสวน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โดยผู้วิจัยใช้การเลือกสุ่มอย่างง่าย
จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 25 คน
9.
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
- แผนการจัดการเรียนรู้
เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
- บทเรียนออนไลน์ (E-book) เรื่องตรรกศาสตร์เบื้องต้น
- แบบทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น
- แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
e - book
หนังสือที่มีอยู่โดยทั่วไป
จะมีลักษณะเป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของ ยุคสมัย และความเปลี่ยนแปลงด้านเล็กทรอนิกส์
ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มีการคิดค้นวิธีการใหม่โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย
จึงได้นำหนังสือดังกล่าวเหล่านั้นมาทำคัดลอก (scan) โดยที่หนังสือก็ยังคงสภาพเดิมแต่จะได้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแฟ้มภาพขึ้นมาใหม่วิธีการต่อจากนั้นก็คือจะนำแฟ้มภาพตัวหนังสือมาผ่าoกระบวนการแปลงภาพเป็นตัวหนังสือ
(text) ด้วยการทำ OCR (Optical Character
Recognition) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแปลงภาพตัวหนังสือให้เป็นตัวหนังสือที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้
การถ่ายทอดข้อมูลในระยะต่อมา
จะถ่ายทอดผ่านทางแป้นพิมพ์ และประมวลผลออกมาเป็นตัวหนังสือและข้อความด้วยคอมพิวเตอร์
ดังนั้นหน้ากระดาษก็เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแฟ้มข้อมูล (files) แทน ทั้งยังมีความสะดวกต่อการเผยแพร่และจัดพิมพ์เป็นเอกสาร (documents
printing) รูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ยุคแรกๆ
มีลักษณะเป็นเอกสารประเภท .doc, .txt, .rtf, และ .pdf
ไฟล์ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาภาษา HTML (Hypertext Markup
Language) ข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกออกแบบและตกแต่งในรูปของเว็บไซต์
โดยในแต่ละหน้าของเว็บไซต์เราเรียกว่า "web page" โดยสามารถเปิดดูเอกสารเหล่านั้นได้ด้วยเว็บเบราว์เซอร์
(web browser) ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถแสดงผลข้อความ
ภาพ และการปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เมื่ออินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น
บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft)
ได้ผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อคอยแนะนำในรูปแบบ HTML
Help ขึ้นมา มีรูปแบบของไฟล์เป็น .CHM โดยมีตัวอ่านคือ
Microsoft Reader (.LIT) หลังจากนั้นต่อมามีบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก
ได้พัฒนาโปรแกรมจนกระทั่งสามารถผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นลักษณะเหมือนกับหนังสือทั่วไปได้
เช่น สามารถแทรกข้อความ แทรกภาพ จัดหน้าหนังสือได้ตามความต้องการของผู้ผลิต
และที่พิเศษกว่านั้นคือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้
สามารถสร้างจุดเชื่อมโยงเอกสาร (Hypertext) ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
ทั้งภายในและภายนอกได้ อีกทั้งยังสามารถแทรกเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ
ลงไปในหนังสือได้ โดยคุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในหนังสือทั่วไป
e-book คืออะไร
e-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึงหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์
ทั้งในระบบออฟไลน์ และออนไลน์
คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ
ของหนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้
นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ
และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้
อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา
ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป
ประเภทของ E-book
ผู้ผลิตสามารถเลือกสร้าง
E-Books
ได้ 4 รูปแบบ คือ
1. Hyper Text
Markup Language (HTML)
2. Portable
Document Format (PDF)
3. Peanut
Markup Language (PML)
4. Extensive
Markup Language (XML)
ซึ่งรายละเอียดของไฟล์แต่ละประเภทจะมีดังนี้
HTML : เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุด
HTML เป็น
ภาษามาร์กอัปออกแบบมาเพื่อใช้ในการสร้างเว็บเพจ
หรือข้อมูลอื่นที่เรียกดูผ่านทางเว็บBrowser เริ่มพัฒนาโดย
ทิม เบอร์เนอรส์ ลี (Tim Berners Lee) สำหรับภาษา SGML
ในปัจจุบัน HTML เป็นมาตรฐานหนึ่งของ ISO
ซึ่งจัดการโดย World Wide Web Consortium (W3C) ในปัจจุบัน ทาง W3C ผลักดัน รูปแบบของ HTML แบบใหม่ ที่เรียกว่า XHTML ซึ่งเป็นลักษณะของโครงสร้าง
XML แบบหนึ่งที่มีหลักเกณฑ์ในการกำหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่มีรูปแบบที่มาตรฐานกว่า
มาทดแทนใช้ HTML รุ่น 4.01
ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
HTML ยังคงเป็นรูปแบบไฟล์อย่างหนึ่ง
สำหรับ .html และ สำหรับ .htm ที่ใช้ในระบบปฏิบัติการที่รองรับ
รูปแบบนามสกุล 3 ตัวอักษร
PDF : ไฟล์ประเภท PDF หรือ Portable Document Format ถูกพัฒนาโดย Adobe
System Inc เพื่อจัดเอกสารให้อยู่ในรูปแบบที่เหมือนเอกสารพร้อมพิมพ์
ไฟล์ประเภทนี้สามารถใช้งานได้ในระบบปฏิบัติการจำนวนมากและรวมถึงอุปกรณ์ E-Book
Reader ของ Adobe ด้วยเช่นกัน
และยังคงลักษณะเอกสารเหมือนต้นฉบับ เอกสารในรูปแบบ PDF สามารถจัดเก็บ
ตัวอักษร รูปภาพ รูปลายเส้น ในลักษณะเป็นหน้าหนังสือ ตั้งแต่หนึ่งหน้า
หรือหลายพันหน้าได้ในแฟ้มเดียวกัน PDF เป็นมาตรฐานที่เปิดให้คนอื่นสามารถเขียนโปรแกรมมา
ทำงานร่วมกับ PDF ได้
การใช้งานแฟ้มแบบ
PDF
เหมาะสมสำหรับงานที่การแสดงผลให้มีลักษณะเดียวกันกับต้นฉบับ
ซึ่งแตกต่างกับการใช้งานรูป Browser แบบอื่น เช่น HTML
การแสดงผลของ HTML จะแตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ และจะแสดงผลต่างกัน ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ต่างกัน
PML : พัฒนาโดย Peanut Press เพื่อใช้สำหรับสร้าง E-Books
โดยเฉพาะ อุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่สนับสนุนไฟล์ประเภท PML นี้จะสนับสนุนไฟล์นามสกุล .pdb ด้วย
XML : สำหรับการใช้งานทั่วไป พัฒนาโดย W3C โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็น
สิ่งที่เอาไว้ติดต่อกันในระบบที่มีความแตกต่างกัน (เช่น
ใช้คอมพิวเตอร์มี่มีระบบปฏิบัติการคนละตัว หรืออาจจะเป็นคนละโปรแกรมประยุกต์ที่มีความต้องการสื่อสารข้อมูลถึงกัน)และเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างภาษามาร์กอัปเฉพาะทางอีกขั้นหนึ่ง
XML พัฒนามาจาก SGML โดยดัดแปลงให้มีความซับซ้อนลดน้อยลง
XML ใช้ในแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน
และเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต XML ยังเป็นภาษาพื้นฐานให้กับภาษาอื่นๆ
อีกด้วย (ยกตัวอย่างเช่น Geography Markup Language (GML), RDF/XML, RSS,
MathML, Physical Markup Language (PML), XHTML, SVG, MusicXML และ cXML)
ซึ่งอนุญาตให้โปรแกรมแก้ไขและทำงานกับเอกสารโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในภาษานั้นมาก่อน
ข้อดีของ e-Book
1. อ่านที่ไหน เมื่อไหร่ ได้ตลอดเวลา เนื่องจากพกไปได้ตลอดและได้จำนวนมาก
2. ประหยัดการตัดไม้ทำลายป่า เพราะไม่ต้องตัดไม้มาทำกระดาษ
3. เก็บรักษาได้ง่าย ประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ ประหยัดค่าเก็บรักษา
4. ค้นหาข้อความได้ ยกเว้นว่าอยู่ในลักษณะของภาพ
5. ใช้พื้นที่น้อยในการจัดเก็บ (cd 1 แผ่นสามารถเก็บ e-Book
ได้ประมาณ 500 เล่ม)
6. อ่านได้ในที่มืด หรือแสงน้อย
7. ทำสำเนาได้ง่าย
8. จำหน่ายได้ในราคาถูกกว่าในรูปแบบหนังสือ
9. อ่านได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพราะไม่ยับหรือเสียหายเหมือนกระดาษ
10. สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง
แค่คลิกเดียวก็สามารถเลือกอ่านหนังสือที่ต้องการได้ทันที
11. เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาธรรมชาติ โดยลดการใช้กระดาษกับ True e-Book
ข้อเสียของ e-Book
1. ต้องอาศัยพลังงานในการอ่านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าหรือแบตตารี่
2. เสียสุขภาพสายตา จากการได้รับแสงจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์
3. ขาดความรู้สึก หรืออรรถรส หรือความคลาสสิค
4. อาจเกิดปัญหากับการ ลง hardware หรือ software ใหม่หรือแทนที่อันเก่า
5. ต้องมีการดูแลไฟล์ให้ดี ไม่ให้เสียหรือสูญหาย
6. การอ่านอาจเกิดอันตรายต่อสายตา
7. เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่าย
8. ไม่เหมาะกับบาง format เช่น รูปวาด รูปถ่าย
แผนที่ใหญ่ เป็นต้น
ประโยชน์ของ e-Book
สำหรับผู้อ่าน
1. ขั้นตอนง่ายในการอ่าน
และค้นหาหนังสือ
2. ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บหนังสือ
3. อ่านหนังสือได้จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
สำหรับห้องสมุด
1. สะดวกในการให้บริการหนังสือ
2. ไม่ต้องใช้สถานที่มากในการจัดเก็บหนังสือ
และไม่เสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
3. ลดงานที่เกิดจากการซ่อม
จัดเก็บ และการจัดเรียงหนังสือ
4.
ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมาดูแลและซ่อมแซมหนังสือ
5. มีรายงานแสดงการเข้ามาอ่านหนังสือ
สำหรับสำนักพิมพ์และผู้เขียน
1. ลดขั้นตอนในการจัดทำหนังสือ
2. ลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการจัดพิมพ์หนังสือ
3. ลดค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ
4. เพิ่มช่องทางในการจำหน่ายหนังสือ
5. เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ตรงถึงผู้อ่าน
ข้อจำกัดของ E-book
เนื่องจากอาจเกิดปัญหากับการ ลง Hardware หรือ Software ใหม่หรือแทนที่อันเก่า ดังนั้นจึงต้องมีโปรแกรมและเครื่องมือในการอื่น
คือ Hardware ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ พร้อมทั้งระบบติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือ Software
ที่ใช้อ่านข้อความต่างๆ ตัวอย่างเช่น Organizer แบบพกพา Pocket PC หรือ PDA เป็นต้น การดึงข้อมูล E-Book ซึ่งจะอยู่บนเว็บไซต์ที่ให้บริการทางด้านนี้มาอ่าน
ก็จะใช้วิธีการ Download ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเสียเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามมิใช่ว่า Hardwareทุกชนิดจะอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้
เนื่องจากมีข้อจำกัดของชนิดไฟล์บางประเภทนั่นเอง ซึ่งต้องมีการแก้ปัญหาด้วยการนำ Software
บางตัวมาช่วยสำหรับ Software ที่ใช้งานกับ E-Book ในปัจจุบันมีสองประเภทคือ
Software ที่ใช้อ่านข้อมูลจาก E-Book และ
Software ที่ใช้เขียนข้อมูลออกมาเป็น E-Book
นอกจากนี้ผู้ใช้ต้องมีการดูแลไฟล์ให้ดี ไม่ให้เสียหรือสูญหาย
คำนึงเสมอว่าการอ่านอาจเกิดอันตรายต่อสายตา E-Bookนี้
ไม่เหมาะกับบาง format เช่น รูปวาด รูปถ่าย แผนที่ใหญ่
เป็นต้น
บทบาทของ E-book
E-Book เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลความรู้จากสื่อต่างๆ
นำเสนอออกมาทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
สามารถแสดงผลด้วยภาพ ข้อความ เสียง สีสัน และภาพเคลื่อนไหวได้
ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับความบันเทิงในการศึกษาข้อมูลมากขึ้น
อีกทั้งยังสามารถพกพาไปอ่านได้ทุกที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงแสงมากหรือน้อย เพราะอุปกรณ์
E-Book มักมีแสง Backlight ของตัวเอง E-Book ยังทำให้อ่านหรือทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าหนังสือ
นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลได้มากอีกด้วย
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561
"ห้องเรียนกลับด้าน" (Flipped Classroom)
"ห้องเรียนกลับด้าน"
(Flipped
Classroom)
การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
(Flipped
Classroom)
"ห้องเรียนกลับด้าน"
(Flipped
Classroom)
เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่
โดยให้นักเรียน "เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน" ปัจจุบัน กระแส
"ห้องเรียนกลับด้าน" เป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และในปีการศึกษา
พ.ศ. 2556 นี้ ชั้นเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของไทยก็จะนำแนวคิด
"ห้องเรียนกลับด้าน" มาใช้ด้วยเช่นกัน แนวคิดหลักของ
"ห้องเรียนกลับด้าน" คือ "เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน"
เป็นการนำสิ่งที่เดิมที่เคยทำในชั้นเรียนไปทำที่บ้าน
และนำสิ่งที่เคยถูกมอบหมายให้ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนแทน โดยยึดหลักที่ว่า เวลาที่นักเรียนต้องการพบครูจริง
ๆ คือ เวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ
เขาไม่ได้ต้องการให้ครูอยู่ในชั้นเรียนเพื่อสอนเนื้อหาต่าง ๆ
เพราะเขาสามารถศึกษาเนื้อหานั้น ๆ ด้วยตนเอง
ถ้าครูบันทึกวิดีโอการสอนให้เด็กไปดูเป็นการบ้าน
แล้วครูใช้ชั้นเรียนสำหรับชี้แนะนักเรียนให้เข้าใจแก่นความรู้จะดีกว่า ใน
"ห้องเรียนกลับด้าน" ครูจะแจกสื่อให้เด็กไปศึกษาล่วงหน้าที่บ้าน
เมื่อมาเข้าชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ
จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยมีครูคอยให้คำแนะนำตอบข้อสงสัย
"ห้องเรียนกลับด้าน" เป็นการเข้าใกล้การจัดการเรียนการสอนแบบ
“เด็กเป็นศูนย์กลาง” (Child-center
education) มากขึ้น ที่สำคัญช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบ้านได้ด้วย
"ห้องเรียนกลับด้าน"
เป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน
เป็นรูปแบบการเรียนที่มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการสอนในชั้นเรียนอย่างเต็มที่
ครูจะมีเวลาใกล้ชิดกับนักเรียนมากขึ้นแทนที่จะใช้เวลาในการสอนหนังสือเพียงอย่างเดียว
โดยครูมักบันทึกวิดีโอการสอนให้เด็กไปดูนอกชั้นเรียนแทน ในห้องเรียนแบบเก่า
ครูจะให้นักเรียนกลับไปอ่านตำราเองที่บ้านแล้วค่อยนำเนื้อหาต่าง ๆ
ที่อ่านมาอภิปรายกันในวันถัดไป จากนั้นนักเรียนจะได้รับการบ้านที่ใช้วัดความเข้าใจต่อหัวข้อการเรียนนั้น
ๆ แต่ในการเรียนการสอนแบบ แบบ
"ห้องเรียนกลับด้าน"
นักเรียนจะเรียนรู้หัวข้อต่าง ๆ ด้วยตนเองก่อน
โดยใช้วิดิโอการสอนที่ครูเป็นผู้ทำกลับไปศึกษาเองที่บ้าน
จากนั้นในชั้นเรียนนักเรียนจะพยายามนำความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ในการทำงานและแก้ปัญหาต่าง
ๆ ในชั้นเรียน
ดังนั้น
งานหลักของครูคือการสอนนักเรียนเมื่อไม่เข้าใจ
มากกว่าที่จะเป็นคนบอกเล่าเนื้อหาการเรียนเพียงอย่างเดียว
การเรียนการสอนเช่นนี้ทำให้สามารถนำการจัดการเรียนรู้ตามความแตกต่างของผู้เรียน (Differentiate
Instruction)และการเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based
learning : PBL) มาใช้ในชั้นเรียนได้ด้วย การเรียนการสอนแบบ
"ห้องเรียนกลับด้าน"
ทำให้ครูมีเวลาชี้แนะนักเรียนและช่วยนักเรียนสร้างสรรค์แนวคิดต่าง ๆ ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังลดจำนวนนักเรียนที่หยุดเรียนในชั้นเรียนนั้น ๆ
และช่วยเพิ่มเนื้อหาสาระจากที่นักเรียนได้เรียนรู้ด้วย หลายคนให้ความเห็นว่า
"ห้องเรียนกลับด้าน"
อาจส่งผลเสียต่อนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นอกโรงเรียน
อย่างไรก็ตามครูหลายท่านก็แก้ปัญหานี้ได้ด้วยการแจก CDs หรือเตรียม
Thumb drives ที่มีไฟล์วิดีทัศน์ให้นักเรียน
หลักการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน
1. สิ่งที่ควรทำในวันแรก ในวันแรกครูอธิบายประโยชน์ของการเรียนแบบใหม่และให้เด็กดูวิดีทัศน์อธิบายวิธีเรียนแบบนี้ในวิดีทัศน์
2.
แจ้งให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบเรื่องการเรียนแบบใหม่
ว่านักเรียนจะได้ประโยชน์อย่างไร
ผู้ปกครองอาจเป็นห่วงเรื่องผลการสอบและในช่วงแรกๆ อาจมีการต่อต้านบ้าง
แล้วจะยอมรับและชื่นชมในที่สุด
3. สอนวิธีดูและจัดการวิดีทัศน์
การฝึกทักษะการดูวิดีทัศน์ก็ทำนองเดียวกันกับการฝึกทักษะ การอ่านตำรา ครูต้องแนะนำวิธีที่ถูกต้องแก่ศิษย์
การดูวิดีทัศน์บทเรียนแตกต่างจากดูทีวีบันเทิง ในทำนองเดียวกันกับการอ่าน
หนังสือหนังสือสารคดี (non-fiction) แตกต่างจากการอ่านหนังสือนวนิยาย
(fiction) แนะนำให้ดูวิดีทัศน์แบบตั้งใจดูจริง ๆ โดยไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ
เช่น ไม่มีหูฟัง iPod เสียบหู ไม่เปิด Facebook ไปพร้อม
ๆ กัน ฝึกเด็กทั้งชั้นในช่วง ๒ - ๓ สัปดาห์แรกของปี ให้ดูวิดีทัศน์ด้วยกัน
ฝึกใช่ปุ่มหยุดวิดีทัศน์และชี้ประเด็นสำคัญในเรื่อง
ลองให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม วิดีทัศน์ ที่จะหยุดหรือย้อนกลับไปดูตอนสำคัญ
แล้วร่วมกันอภิปรายทั้งชั้นว่าหากตนเองเป็นผู้ควบคุมวิดีทัศน์ จะดีต่อตนเองอย่าง
ไร แต่ละคนดูได้เข้าใจเร็วช้าแตกต่างกันอย่างไร และการเรียนจากวิดีทัศน์ช่วยให้นักเรียน
แต่ละคนเป็นผู้มีอำนาจเหนือการเรียนของตนอย่างไร
นอกจากนั้นยังสอนวิธีจดบันทึก โดยครูแจกแบบฟอร์ม (template) สำหรับให้นักเรียนฝึกจดบันทึก จะเห็นว่า การจดบันทึกช่วยการฝึกตั้งคำถาม
และการจับประเด็นสำคัญ
4. กำหนดให้นักเรียนตั้งคำถามที่น่าสนใจ
เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนได้ดูวิดีทัศน์มาก่อน
ครูจึงกำหนดให้เด็กต้องมาตั้งคำถามที่ น่าสนใจในชั้นเรียน โดยต้องเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับในวิดีทัศน์
และตัวเด็กเองไม่รู้คำตอบ นักเรียนแต่ละคน ต้องตั้งคำถามมาคนละ 1 คำถามต่อวิดีทัศน์ 1 ตอน ในชั้นเรียนจะมีช่วงเวลา
“คำถามและคำตอบ” ที่สนุกสนานและมีคุณค่าต่อการเรียนรู้อย่างยิ่ง โดยนักเรียนอาจเรียนคนเดียว
หรือเรียนเป็นกลุ่มและเป็นการทำงานร่วมกับครู เป็นช่วงเวลาที่ครูได้เรียนรู้สูงมาก
ได้มีโอกาสสังเกตความเข้าใจผิดของเด็กและแก้ไขเสียเป็นกติกาการเรียนที่ทำให้นักเรียนที่ในห้องเรียนปกติเลื่อนลอยจากการเรียน
ไม่เคยพูด ไม่เคยถาม ครูต้องมีส่วนตั้งคำถาม และช่วยกันหาคำตอบ บางคำถามครูก็ไม่รู้คำตอบ
ครูจึงได้มีโอกาสแสดงให้เด็กเห็น ว่า การไม่รู้เป็นเรื่องปกติ
ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือต้องปิดบัง การที่ครูได้ร่วมค้นคว้ากับเด็กทำให้เกิดความสนิทสนม
ช่วยให้เด็กกล้าถามต่อ และที่สำคัญ ช่วยให้ครูได้เรียนรู้ด้วย
ประโยชน์ของการใช้ห้องเรียนกลับด้าน
1. สอนให้นักเรียนรับผิดชอบการเรียนของตนเอง
เมื่อใช้ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไป ชีวิตครูเปลี่ยนไป และพฤติกรรมของเด็กก็เปลี่ยนไป
ในห้องเรียนแบบเดิม นักเรียนนั่งฟัง รับคาสั่ง และรับถ่ายทอด แล้วตอบข้อสอบเพื่อพิสูจน์ว่าตนได้เรียนรู้
สภาพเช่นนี้ได้ผลต่อเด็กส่วนน้อย เด็กอีกจานวนหนึ่งหมดความสนใจ
และหลุดไปจากกระบวนการเรียนรู้ แต่ในห้องเรียนแบบ กลับทางและเรียนให้รู้จริง
นักเรียนรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง การเรียนไม่ใช่สิ่งที่กระทาต่อนักเรียน
แต่กลายเป็นสิ่งที่นักเรียนเป็นเจ้าของ เป็นผู้กระทา
และจะเป็นทักษะที่ติดตัวตลอดไป เมื่อกลับทางห้องเรียนในช่วงแรก เด็กอาจไม่คุ้น
และอาจต่อต้าน แต่เมื่อดาเนินการไประยะหนึ่ง เด็กจะเห็นคุณค่า
และจะเปลี่ยนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนอย่างขมีขมัน
2. ทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย
เมื่อผู้เขียนทั้งสองเริ่มห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อดาเนินการ
จึงพบว่าเป็นวิธีทาให้การเรียนเป็นกิจกรรมเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน
ที่มีกิจกรรมเรียนรู้แตกต่างกันในห้องเรียนเดียวกันเวลาเดียวกัน และเด็กแต่ละคนเรียนด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน
และครูก็ดูแลเด็กด้วยมาตรฐานที่แตกต่างกันได้
โดยมีมาตรฐานขั้นต่าไว้กากับเด็กที่เรียนช้าและไม่ถนัดในวิชานั้น
นักเรียนที่มีความถนัดและตั้งใจเรียนต่อทางใดทางหนึ่งก็จะได้รับการ
ส่งเสริมให้เอาดีด้านนั้นยิ่งๆ ขึ้น
3. การเรียนรู้เป็นศูนย์กลางของห้องเรียน
ในห้องเรียนแบบเก่า
ครูเป็นจุดสนใจของห้องเรียน
แต่ในห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริงจุดสนใจอยู่ที่สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้
หรือยังไม่รู้ ในห้องเรียนแบบนี้
นักเรียนมาเข้าห้องเรียนพร้อมกับเป้าหมายของการเรียนรู้ ครูเป็นผู้จัดสิ่งของห้องเรียนและสิ่งอานวยความสะดวกต่อการเรียน
รวมทั้งช่วยแนะนาให้นักเรียนวางแผนการเรียนรู้ของตน
ห้องเรียนเปลี่ยนจากที่รับถ่ายทอด (ความรู้) มาเป็นที่พูดคุยแลกเปลี่ยน
เพื่อการเรียนรู้ และเพื่อแสดงว่าตนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์อย่างรู้จริง นักเรียนอยู่ในสภาพเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้
ไม่ใช่เพียงผู้รับถ่ายทอดสาระ ผู้เขียนทั้งสองเปลี่ยนชื่อห้องเรียน (classroom) เป็น พื้นที่สาหรับการเรียนรู้ (learning space)
4. การเรียนรู้แบบกลับทางและเรียนให้รู้จริงให้บริการ
feedback แก่เด็กในทันที และลดเอกสารที่ครูต้องทำ
การประเมินอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อ feedback แก่เด็กในทันทีที่เด็กทากิจกรรมในห้องเรียน
ช่วยให้เด็กได้รู้ความก้าวหน้าในการเรียนของตนทันที
และครูก็ไม่ต้องตรวจการบ้านกองโต นักเรียนจะเอาชิ้นผลงานมาคุยกับครู
เกี่ยวกับวัตถุประสงค์และประเด็นหลักของการเรียน ครูจะตรวจสอบความเข้าใจ
และความเข้าใจผิดของเด็กไปพร้อม ๆ กัน ครูให้คะแนนได้ในชั่วโมงเรียน
และสามารถปรึกษาหรือวางแผนการเรียนที่จาเป็นขั้นต่อไปเพื่อช่วยให้เข้าใจชัดขึ้น
หรือเพื่อขจัดความเข้าใจผิด เด็กที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว และแสดงความหัวไวในเรื่องนั้น
ครูก็สามารถพูดคุยเพื่อร่วมกันวางแผนการเรียนขั้นต่อไป เพื่อให้ท้าทายยิ่งขึ้น
เข้าใจได้ลึกและมีมุมมองที่กว้างและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น
มีคอมพิวเตอร์ทดสอบความเข้าใจบทเรียนให้นักเรียนสอบเอง แล้วได้รับคะแนนสอบในทันที
นักเรียนกับครูสามารถทบทวนคาตอบร่วมกันเพื่อทาความเข้าใจ ครูจะเห็นประเด็นที่นักเรียนมีความเข้าใจผิดซ้ำ
ๆ กันหลายคน และนามาปรับปรุงบทเรียนของตนได้ และนามาใช้ออกแบบการเรียนซ่อมได้ จุดสำคัญของวิธีการเรียนแบบใหม่คือ
นักเรียนจะมีความรู้เรื่องนั้นถูกต้องและเพียงพอสาหรับเป็นพื้นความรู้สู่บทเรียนต่อไป
5. การเรียนแบบรู้จริง ช่วยให้นักเรียนมีโอกาสได้เรียนเสริม
ในชั้นเรียนตามปกติ
มีนักเรียนบางคนไม่ผ่านการทดสอบในรอบแรก ซึ่งหากเป็นชั้นเรียนตามปกติ
การสอนก็ดาเนินต่อไป และนักเรียนที่เรียนไม่ทันก็จะค่อยๆ ล้าหลังยิ่งขึ้นๆ
จนเบื่อเรียน แต่ในห้องเรียนแบบรู้จริง นักเรียนจะเรียนเรื่องเดิมใหม่
จนกว่าจะรู้จริง และครูก็จะรู้ว่าจะต้องช่วยเหลือนักเรียนคนใด ในเรื่องใด
คือครูเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายคน
เมื่อนักเรียนที่เรียนอ่อนเหล่านี้ได้แก้ความเข้าใจผิดของตน
ก็จะสามารถเรียนบทเรียนต่อไปได้คล่องแคล่วขึ้น
6. การเรียนแบบรู้จริงเปิดช่องให้นักเรียนเรียนรู้สาระด้วยหลากหลายวิธี
ใช้ทฤษฎี UDL (Universal Design for
Learning)ในการจัดการเรียนรู้
เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเรียนด้วยวิธีที่ตนถนัดที่สุด
เช่นบางคนชอบเรียนจากวิดีทัศน์ บางคนชอบเรียนจากตาราเรียน บางคนชอบค้นจากอินเทอร์เน็ต
เป็นต้น ครูก็ส่งเสริม ทาให้เด็กรู้สึกมีอิสระ
และรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องของตนเอง เป็นความรับผิดชอบของตนเอง
การเปิดอิสระให้เด็กได้เลือกวิธีเรียนนี้
ช่วยให้เด็กค้นพบวิธีเรียนที่ให้ผลดีที่สุดต่อตนเอง
คือได้ฝึกทักษะการเรียนรู้นั่นเอง เมื่อเปิดอิสระเช่นนี้
นักเรียนจะทดลองวิธีการต่างๆ หลากหลายแบบ บางคนชอบเรียนไปก่อนล่วงหน้า
บางคนชอบทาแบบฝึกหัด บางคนชอบทาแลบ ก็ได้เรียนตามแบบที่ตนชอบ
7. การเรียนแบบรู้จริงเปิดช่องให้นักเรียนแสดงภูมิรู้ได้หลากหลายแบบ
การสอบแบบเดิมก็เช่นเดียวกัน
ไม่ใช่วิธีการทดสอบภูมิรู้ที่เหมาะต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
นักเรียนบางคนอาจแสดงความรู้ความเข้าใจได้ดีโดยการตอบข้อสอบตามปกติ
แต่บางคนอาจแสดงความเข้าใจได้ดีกว่า โดยการอภิปรายด้วยวาจากับครู
หรือบางคนชอบการทดสอบโดยนาเสนอด้วย PowerPoint หรือบางคนอาจเขียนเรียงความอธิบายความเข้าใจ
ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือ
มีนักเรียนขอทาวิดีโอเกมเพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจวิชาของตน และเมื่อครูอนุญาต
นักเรียนก็ทาให้ครูแปลกใจในความคิดสร้างสรรค์และความสามารถของนักเรียนคนนี้
8. การเรียนแบบรู้จริงเปลี่ยนบทบาทของครู
ครูได้ใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อศิษย์มากที่สุด
เพื่อช่วยให้เวลาในห้องเรียนเป็นเวลาที่ศิษย์เกิดการเรียนรู้แบบรู้จริง
9. การเรียนแบบรู้จริงช่วยให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียน
ไม่ใช่รับจ้างมาโรงเรียน
โดยทั่วไป นักเรียนมาโรงเรียนโดยหวังได้เกรด
ผ่านการท่องจาเนื้อวิชา ไม่ใช่หวังได้เรียนรู้
นักเรียนในชั้นเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริง
จะเริ่มต้นด้วยความไม่พอใจวิธีเรียนแบบใหม่ที่ไม่ถ่ายทอดวิชาให้โดยตรง
แต่ในที่สุดเด็กเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเด็กที่มีทักษะแห่ง “นักเรียนรู้”
10. วิธีเรียนแบบรู้จริงจัดซาง่าย ขยายขนาดชั นเรียนง่าย
และจัดให้เหมาะต่อเด็กเป็นรายคนได้ง่าย
ห้องเรียนแบบนี้เริ่มต้นที่โรงเรียนบ้านนอก
ที่เป็นโรงเรียนเล็ก ไม่มีเครื่องมือครบครัน และเริ่มต้นที่ชั้นเรียนเคมี
ซึ่งถือเป็นวิชาอันตราย ที่จะเกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายต่อเด็ก
แต่ก็ทาได้สาเร็จในโรงเรียนบ้านนอก
11. วิธีเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริงช่วยเพิ่มเวลาพบหน้าระหว่างครูกับ
ศิษย์
เมื่อเริ่มการเรียนวิธีนี้
ผู้ปกครองเด็กบางคนเป็นห่วงว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์จะลดลง
ซึ่งในทางเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น
และเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของศิษย์มากขึ้น
ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนดีขึ้น และความเครียดลดลง
เพราะเด็กเข้าถึงเนื้อหาได้เมื่อต้องการ ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน และ ๗ วันต่อสัปดาห์
12. การเรียนแบบรู้จริงช่วยให้นักเรียนทุกคนอยู่กับการเรียน
หลักการเรียนแบบ brain-based มีว่า “สมองที่พัฒนา คือสมองของคนที่กาลังทางาน” ในห้องเรียนแบบเดิม ผู้ที่ทางานคือครู
แต่ในห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริง ผู้ทางานคือนักเรียน
13. การเรียนแบบรู้จริงทาให้การลงมือทาเป็นการเรียนแบบที่เหมาะต่อเด็กแต่ละคน
ในการเรียนแบบเดิม การเรียนในห้องปฏิบัติการทาเป็นกลุ่มขนาดใหญ่
และทำพร้อม ๆ กัน ซึ่งดูเสมือนว่าเป็นชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพมาก
แต่เมื่อมองจากมุมของการเรียนรู้ของเด็ก การเรียนรู้แบบกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบที่เหมาะต่อเด็กแต่ละคน
ในชั้นเรียนวิชาเคมีของผู้เขียนหนังสือ ครูใช้เวลาช่วงแรกอธิบายเรื่องข้อพึงระวังด้านความปลอดภัย
แล้วปล่อยให้นักเรียนทดลองทางห้องปฏิบัติการด้วยตนเอง
โดยครูคอยช่วยเหลือแนะนาเป็นรายคน
ความพึงพอใจ
มอส (Morse.1958:19)
กล่าว ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง
สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียดทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ
ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองทั้งหมดหรือบางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง
ความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้นและในทางกลับกันถ้าความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบ สนอง
ความเครียดและความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น
วรูม (Vroom.1964:8)
กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงผลที่ได้จากการที่บุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น
ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เป็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น
และทัศนคติด้านลบจะแสดงให้เห็นสภาพความไม่พึงพอใจนั่นเอง
เมนาร์ด ดับบริล
เชลลี่ (Maynard W.Shelly.1975:9) ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ
ซึ่งสรุปได้ว่าความพึงพอใจเป็นความรู้สึก แบ่งได้เป็น 2
ประเภท คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ
ความรู้สึกในทางบวกเป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดความสุข
ความสุขนี้เป็นความสุขที่แตกต่างจากความรู้สึกทางบวกอื่น ๆ
กล่าวคือเป็นความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุขสามารถทำให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกอื่น
ๆ ความรู้สึกทางลบ
ความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกที่มีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้
เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ
กาญจนา
อรุณสุขรุจี ( 2546 : 5 ) กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์
เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้
การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่
สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน
และต้องมีสิ่งที่ตรงต่อความต้องการของบุคคล จึงจะทำให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ
ดังนั้นการสร้างสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลนั้นให้เกิดความพึงพอใจในงานนั้น
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ
หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ
ความสุขใจต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ
หรือเป็นความรู้สึกที่พอใจต่อสิ่งที่ทำให้เกิดความชอบ ความสบายใจ
และเป็นความรู้สึกที่บรรลุถึงความต้องการ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
-
มอส ( Morse.1958:19) กล่าว ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียดทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความต...


